คนไทย “ตระหนัก” หรือ “ตระหนก” กับประชาคมอาเซียน
หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรสื่อสารมวลชน ต่างตั้งเป้าหมายให้คนไทยตระหนักรู้เรื่องประชาคมอาเซียน เพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาคอย่างคุ้มประโยชน์ แต่ถึงเวลานี้ ทุกฝ่ายอาจจะต้องหันกลับมาทบทวนกันใหม่ว่า เพราะเหตุใด การ ตระหนักรู้ จึงกลายเป็นความ ตระหนก และ การตื่นตัว กลับกลายเป็นการ ตื่นตูม ที่กล่าวเช่นนั้น เพราะคนไทยยังเข้าใจข้อมูลคลาดเคลื่อนอยู่หลายประการ ผู้เขียนจึงได้รวบรวมความเข้าใจผิดและข้อวิตกจากข้อเขียนต่างๆ พร้อมทั้งนำเสนอข้อเท็จจริงจากกูรูหลายท่าน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับคนไทย ซึ่งไม่ใช่แค่ในหมู่ประชาชน แต่หมายรวมถึงผู้เกี่ยวข้องที่ทำหน้าที่สื่อสารข้อมูลด้วย
เริ่มจาก ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ที่เสนอข้อเขียนว่า ในบรรดาความสับสนทั้งหลาย คำย่อในภาษาอังกฤษเป็นเรื่องแรกที่จะต้องเคลียร์ความเข้าใจ เพราะ “ประชาคมอาเซียน” หรือ “ASEAN Community” มีคำย่อว่า “AC” แต่คำย่อ “AEC” กลับถูกใช้มากกว่า ในการรายงานข่าวสารของสื่อมวลชนไทย จะด้วยความตั้งใจหรือความไม่รู้จริง ผลของมันก็ได้ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดไปแล้วว่า ในปี 2558 สมาชิกประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศจะเข้าสู่ AEC
แท้จริงแล้ว AEC ย่อมาจาก ASEAN Economic Community หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และเป็นเพียงหนึ่งในสามเสาหลักของประชาคมอาเซียน ซึ่งเมื่อผลึกกำลังกับประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community – APSC) และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community – ASCC) ก็จะกลายเป็น 3 ประชาคมรากฐานที่ค้ำจุนประชาคมใหญ่ ที่เรียกรวมกันว่า “ประชาคมอาเซียน” ให้แข็งแรง มั่นคง และอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข กลายเป็นสูตร : AC = APSC + AEC + ASCC เพราะฉะนั้น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จึงไม่ใช่ทั้งหมดของประชาคมอาเซียน (AC) เพียงแต่เป็นเสาที่ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นเรื่องของปากท้อง จนพูดกันแต่เรื่อง AEC อย่างเดียว พูดไปพูดมา เลยเข้าใจผิดคิดว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็นเรื่องเดียวกันกับประชาคมอาเซียน จึงนำมาสู่ความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์ เพราะอีกสองเสาหลัก คือ เรื่องการเมืองและความมั่นคง กับเรื่องสังคมและวัฒนธรรมถูกละเลยไม่กล่าวถึง
ดังนั้นแล้ว การสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จึงควรพูดทั้งสามเรื่องไปพร้อม ๆ กัน เพราะแต่ละเสาหลักต่างก็มีความสำคัญและค้ำจุนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะขาดเสาหลักหนึ่งเสาหลักใดมิได้ โดยเฉพาะเสาหลักด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASCC) เพราะเรื่องของสิ่งแวดล้อม พลังงาน การศึกษา อาชญากรรม ประวัติศาสตร์ โรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ล้วนเป็นเรื่องของ ASCC ทั้งสิ้น
ในบทความวิชาการเรื่อง “ประเทศไทยในกระแส AEC : มายาคติ ความเป็นจริง โอกาส และความท้าทาย” ที่มีผู้วิจัยคือ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู และคณะ ได้กล่าวถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของคนไทย ที่เข้าใจไปว่า เมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อประเทศไทยในหลายประการ โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ เช่นว่า ภาษีศุลกากรในอาเซียนจะลดลงเป็น 0% ในทันที ซึ่งที่จริงแล้ว กลุ่มประเทศอาเซียนได้เริ่มปรับลดภาษีอากรตามกรอบเขตการค้าเสรีอาเซียน AFTA-CEPT มาตั้งแต่ปี 2536 จนมาในปี 2553 ผู้ก่อตั้งอาเซียน 6 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย ได้ใช้ภาษี 0% ไปแล้วถึง 99.5% ซึ่งถือว่าเสร็จสิ้นเกือบสมบูรณ์แล้ว นั่นหมายความว่า ภายในปี 2558 จะเพิ่มแค่กลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี คือ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม เท่านั้น ที่จะต้องลดภาษีเป็น 0% ให้เสร็จสิ้น เพื่อให้อาเซียนกลายเป็นเขตการค้าเสรีอย่างสมบูรณ์ จึงแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้สำหรับประเทศไทย
การเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรี เห็นจะเป็นเรื่องที่คนไทยเข้าใจผิดและวิตกกันมากที่สุด ซึ่งบทสัมภาษณ์ในเอกสารวิชาการ รวมทั้งการเข้าร่วมสัมมนา “อัตลักษณ์อาเซียนมีหรือไม่” ที่จัดโดย กรมประชาสัมพันธ์ ของ ผศ.ดร.กิตติ ประเสริฐสุข อาจารย์ประจำสาขาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้ประสานงานโครงการ “จับตาอาเซียน ASEAN Watch” ได้ยืนยันในข้อนี้ว่า คนไทยกำลังอยู่ในภาวะที่ตระหนกจนเกินเหตุ เพราะไปเข้าใจว่าจะเกิดการเคลื่อนย้ายเสรีกับแรงงานทุกประเภท พาลทำให้กลัวว่า เดี๋ยวเขมร ลาว พม่า จะทะลักเข้ามาเต็มประเทศ แล้วคนไทยก็จะถูกแย่งงาน ถามว่าแล้วทำไมเพิ่งมากังวล ในเมื่อตอนนี้ก็เข้ามา 2 ล้านคนแล้ว แต่พอตอนที่อองซาน ซูจี มาเมืองไทยเมื่อสามเดือนก่อน คนงานพม่าที่มหาชัยขอให้ซูจีพากลับบ้าน สังคมไทยก็กลับตระหนกอีกแล้วว่า ถ้าพม่ากลับบ้านหมดแล้วจะทำอย่างไร นี่จึงอาจเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมคนไทยจึงมักถูกกระแสชี้นำครอบงำได้ง่ายในหลายๆ เรื่อง
จริงๆ แล้วการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนไม่ได้หมายความว่า แรงงานทุกประเภทจะเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี เพราะ AEC กำหนดให้มีการเคลื่อนย้ายเสรีจำกัดอยู่เฉพาะแรงงานที่มีทักษะ (skilled labour) ใน 8 สาขาวิชาชีพ คือ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล วิศวกร สถาปนิก บัญชี นักสำรวจ และล่าสุด คือ นักวิชาชีพด้านการโรงแรมและท่องเที่ยว ที่ได้มีการตกลงให้เพิ่มเมื่อไม่นานมานี้ พอมีคนส่วนหนึ่งเริ่มเข้าถึงข้อมูล ก็เข้าใจผิดต่อไปว่า ถ้าเป็นหมอ เป็นพยาบาลก็สามารถเลือกไปทำงานที่ไหนก็ได้ หรือวิตกอีกทางหนึ่งว่า บรรดาหมอชาวฟิลิปปินส์ หรือชาตินั้นชาตินี้ จะพูดจากับคนไข้ชาวไทยได้หรือ ทุกเรื่องกลายเป็นความวิตกที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริง เพราะการเคลื่อนย้ายของ skilled labour ในอาเซียน ไม่ได้แปลว่าจะไปทํางานได้เลย AEC กำหนดให้มีการจัดทำมาตรฐานการยอมรับร่วมกันในประชาคมอาเซียน เช่น คุณสมบัติด้านการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน เป็นต้น
เมื่อผ่านคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว ใช่ว่าการเคลื่อนย้านแรงงานจะทำได้ในทันที เพราะยังมีด่านต่อไปที่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบท้องถิ่นอยู่ดี เช่น เป็นแพทย์จากมาเลเซียจะทํางานในไทย ก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบของแพทยสภา คือ ต้องมีใบประกอบโรคศิลป์ที่ให้สอบเป็นภาษาไทย ในทางกลับกันคนไทยก็ต้องสอบเป็นภาษาเวียดนาม ภาษาบาฮาซา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศ จึงยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน แล้วจะว่าไป การเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีสาขาแพทย์ก็เริ่มไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า เพราะทุกประเทศเขามีกฎหมายเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายแรงงาน ถ้าเปิดให้เคลื่อนย้ายได้ก็ต้องไปแก้กฎหมายทั้งหมด องค์กรวิชาชีพของไทยเอง ก็ยังมีท่าทีปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มวิชาชีพที่กล่าวมาอย่างเห็นได้ชัด ยกเว้นวิชาชีพด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว ใน 32 ตำแหน่งงาน (สาขาการโรงแรม 23 ตำแหน่งงาน และสาขาธุรกิจนำเที่ยว 9 ตำแหน่งงาน) ที่กฎหมายไทยไม่มีข้อจำกัดในการเข้ามาทำงานของคนต่างชาติ
คนไทยกลัวถูกแย่งอาชีพ จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน แต่อาจสรุปได้ว่า สุดท้ายการเคลื่อนย้ายของ skilled labour ในอาเซียนก็คงต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของประเทศเจ้าบ้านเป็นหลัก ถ้าหากต้องการแพทย์จากต่างชาติ ก็ต้องมีระเบียบที่ผ่อนปรนมากขึ้น ทั้งนี้ ก็จะต้องยึดหลักไม่กีดกันประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นพิเศษด้วย
ส่วนเรื่องการศึกษาที่กลัวว่า จะมีต่างชาติแห่มาเปิดโรงเรียน ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ” อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ อดีต รมช.กระทรวงศึกษาธิการ นักการศึกษาและนักเศรษฐศาสตร์ระดับแถวหน้าของประเทศ ได้ให้เหตุผลว่า เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะกฎหมายกำหนดให้มีใบอนุญาต และผู้อำนวยการต้องเป็นคนไทย เงื่อนไขมีเต็มไปหมด จึงเตือนคนไทยว่า การตื่นตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่อยากให้ตื่นตูมจนเกินไป
ต่อด้วยความเข้าใจผิดที่ว่า นักลงทุนอาเซียนสามารถลงทุนในธุรกิจบริการในอาเซียนได้อย่างเสรี โดยไม่มีข้อจำกัด ประเด็นนี้คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงอย่างน้อย 2 ข้อ ข้อแรก AEC จะเปิดให้นักลงทุนถือหุ้นในธุรกิจบริการได้อย่างน้อย 70 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ 100 เปอร์เซ็นต์ อุปสรรคอีกประการหนึ่ง คือ กฎเกณฑ์ภายในประเทศต่างๆ ยังไม่ได้เปิดให้นักลงทุนถือหุ้นได้ตามที่ AEC กำหนด เช่น พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวถือหุ้นมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจบริการ เป็นต้น และ AEC ก็ไม่มีข้อกำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น การเปิดเสรีภาคบริการของไทยภายใต้ AEC จึงอยู่ในระดับที่จำกัดมาก ซึ่งในความเป็นจริง นักลงทุนไทยกลับลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนมากกว่าที่ประเทศอาเซียนมาลงทุนในไทยเสียอีก จากข้อมูลการลงทุนโดยตรงระหว่างไทยกับอาเซียน พบว่า มูลค่าการลงทุนของไทยในอาเซียนสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี
เมื่ออาเซียนรวมตัวกันทางเศรษฐกิจแล้ว ในอนาคตเศรษฐกิจอาจจะล้มแบบโดมิโน่ เหมือนที่เกิดขึ้นกับสหภาพยุโรปหรืออียู (Europe Union: EU) ความกังวลนี้เกิดขึ้นเพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า อาเซียนเราไปลอกอียูมา ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า อียูมีความแตกต่างมากเมื่อเทียบกับการรวมตัวของบ้านเรา ทั้งในแง่ระดับการรวมกลุ่มและการจัดสรรอำนาจอธิปไตย อียูมีการจัดตั้งหน่วยงานที่มีอำนาจเหนือรัฐ ขณะที่สมาชิกอาเซียนยังคงมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง ไม่มีการตั้งหน่วยงานเหนือรัฐขึ้น การตกลงใดๆ ในหมู่สมาชิกจึงต้องได้รับความยินยอมจากสมาชิกทั้งหมด ทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินนโยบาย ส่วนด้านระดับการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ อาเซียนเราเพียงแต่ยกเลิกภาษีนำเข้าและโควต้าระหว่างกันเท่านั้น ส่วนอียูนอกจากจะยกเลิกภาษีการค้าแล้ว ยังมีการกำหนดอัตราภาษีสินค้าที่นำเข้าจากประเทศนอกกลุ่มอียูและเปิดให้มีการเคลื่อนย้ายทุนและแรงงานทุกประเภทอย่างเสรี และอียูมีการใช้สกุลเงินอียูร่วมกันในหมู่ประเทศสมาชิก ซึ่งเรายังไปไม่ถึงจุดนั้น
เมื่อเป็นประชาคมอาเซียนแล้ว ทุกอย่างจะหลั่งไหลเข้ามาจนตั้งตัวไม่ทัน เป็นความวิตกที่ได้คำตอบแล้วว่า หลายเรื่องได้ดำเนินไปก่อนหน้า และมันจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และที่สำคัญไปกว่าการนับถอยหลังรอวันรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งเดิมกำหนด 1 มกราคม 2558 เป็นวันดีเดย์ ได้ถูกขยับออกไปเป็น 31 ธันวาคม 2558 ควรจะอยู่ที่ว่า เมื่อรวมเป็นประชาคมแล้ว แล้วเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร ให้ในอีก 10..20..30 และปีต่อๆ ไป ความเข้มแข็งและความสงบสุข จะยังคงอยู่กับประชาคมนี้อย่างคงทนถาวร อันนั้นต่างหากที่เป็นหัวใจ
ท้ายสุด การโยงทุกเรื่องว่าเกิดขึ้นเพราะประชาคมอาเซียน ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าห่วง ซึ่งผู้ประสานงานโครงการ “จับตาอาเซียน ASEAN Watch” ผศ.ดร.กิตติ ประเสริฐสุข ให้ความเห็นว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังตกอยู่ภายใต้วาทกรรมอาเซียน จะจัดประชุม จะทำอะไร ก็ให้เหตุผลว่า เพื่อการเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน แต่จนแล้วจนรอดก็หนีไม่พ้นการโชว์ธงประจำชาติ การแต่งกาย ผิวเผินจนไม่สามารถแยกแยะได้ถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน อย่างกรณีโครงการเรียนและสอนภาษาอังกฤษของเยาวชน ไม่น่าจะเป็นที่เรื่องสัมพันธ์กับอาเซียนมากเท่ากับการเรียนภาษาประเทศเพื่อนบ้าน เพราะทุกวันนี้เพื่อนบ้านรู้จักภาษาไทยมากกว่าคนไทยรู้จักภาษาประเทศเพื่อนบ้าน หรือเรื่องที่ไม่ควรโยง คือ ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดที่จะเพิ่มขึ้นหากเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เพราะยาเสพติดแพร่ระบาดในไทยก่อนที่กระแสเรื่องอาเซียนจะอุบัติขึ้น การผูกโยงทุกเรื่องเข้ากับอาเซียนจึงดูเหมือนว่าประเทศไทยจะตื่นตัวดีอยู่ แต่เอาเข้าจริงเวลาสำรวจโพลล์ทีไร ปรากฎว่า ประเทศไทยรั้งท้ายทุกเรื่อง
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็น ความตระหนก ของคนไทยที่เกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และหากปัญหาเหล่านี้ยังสะสมฝังรากอยู่ คงเป็นไปได้ยากที่จะทำให้คนไทยเชื่อว่า ประชาคมอาเซียน จะสร้างความมั่นคง…ความเจริญรุ่งเรือง จนในอนาคต ประชาชนทั้งหมดทั้งมวลจะอยู่ดีมีสุข เพราะฉะนั้น ความชัดเจนของข้อมูล จึงกำลังเป็นความต้องการของสังคมไทย โดยคงจะต้องเริ่มที่สื่อมวลชนไทย ที่จะต้องระมัดระวังการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน พร้อมความร่วมแรงร่วมใจจากอีกหลายๆฝ่ายที่ต้องเร่งเปลี่ยนความเข้าใจผิด ให้กลับสู่ทิศทางของความเข้าใจที่ถูกต้องและสมบูรณ์ และคนไทยเองก็ต้องอ่านและฟังให้มาก และพยายามเรียนรู้อย่างรอบด้าน เพื่อที่ว่า “ความตระหนก” จะได้เปลี่ยนเป็น “ความตระหนักรู้” ที่จะทำให้ท่านก้าวสู่ประชาคมอาเซียนอย่างรู้เท่าทันและสง่างาม…
ปัณญานัตย์ วิเศษสมวงศ์ เรียบเรียง
ส่วนอาเซียน สำนักการประชาสัมพันธ์ต่างประเทศ
อ้างอิง
http://www.mfa.go.th/asean บทความ “ประเทศไทยในกระแส AEC: มายาคติ ความเป็นจริง โอกาส และความท้าทาย”
บันทึกอาเซียน โดยสมเกียรติ อ่อนวิมล ตอน AEC ใน ASEAN
ครูเศรษฐ OKnation
หนังสือพิมพ์มติชน
จดหมายข่าว สมาคมจดหมายเหตุสยาม
การสัมมนา “อัตลักษณ์อาเซียนมีหรือไม่” โดย กรมประชาสัมพันธ์